10/26/2552

ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก

ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก
ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ มีดังนี้
1. ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น โดยเฉลี่ย 0.8 องศาเซลเซียสต่อระยะ 10 ปี ทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกเหนือละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เกิดความแห้งแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้น พื้นที่เพาะปลูกลดน้อยลง แต่ทะเลทรายเพิ่มขึ้น
2. ฤดูกาลและสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในเขตเมืองหนาว ฤดูหนาวจะสั้นลง ฝนตกมากขึ้น ฤดูร้อนจะยาวมากขึ้น อากาศจะร้อนและแห้งแล้ง ส่วนเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน บริเวณที่แห้งแล้งจะแห้งแล้งมากขึ้น ดินเสื่อมคุณภาพมากขึ้น บริเวณที่ชุ่มชื้นจะมีฝนมากขึ้น พายุรุนแรงและเกิดอุทกภัยบ่อยขึ้น
3. ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำเพิ่มขึ้น ปริมาณของน้ำทะเล ประกอบกับน้ำจากขั้วโลกมีปริมาณเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เป็นสาเหตุของการพังทลายบริเวณชายฝั่ง ระบบชลประทาน และการระบายน้ำได้รับความเสียหาย เกิดการรุกล้ำของน้ำเค็มในผิวดิน แม่น้ำ พื้นที่ไร่นา ก่อให้เกิดความเสียหายทางด้านการเพาะปลูก และอุตสาหกรรมชายทะเล นอกจากนี้ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจทำให้บริเวณหาดทรายหรือเกาะต่าง ๆ จมหายไปใต้น้ำ เกิดภาวะน้ำท่วม ปัญหามลพิษทางน้ำ
4. ผลผลิตทางการเกษตรลดลงหรือต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เพราะสภาพดินฟ้า อากาศ และพื้นที่ไม่เอื้ออำนวย ความเหมาะสมลดลง มีการระบาดของแมลงศัตรูพืชมากขึ้น เกิดความเสียหายทางการเกษตร อาหารจะขาดแคลน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายพื้นที่เพาะปลูกไปยังพื้นที่ที่เหมาะสม
5. สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ถูกทำลายไปจากโลก เป็นผลจากอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้น จะเกิดความแห้งแล้ง ดินเค็ม น้ำท่วม ทำให้แหล่งกำเนิดและถิ่นที่อยู่อาศัยของพืช สัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ถูกทำลายลงทุกที และบางชนิดกำลังจะสูญพันธุ์ไปจากโลก
6. เนื่องจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยจะทำให้เป็นมะเร็งที่ผิวหนังมากขึ้น

10/21/2552

สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก

สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก
การพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม มีผลต่อการเพิ่มปริมาณก๊าซเรือนกระจก สู่บรรยากาศมากขึ้น ก๊าซเรือนกระจกที่ควรรู้จักมีดังนี้
1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ( CO )
คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งเป็นก๊าซที่เพิ่มขึ้นในบรรยากาศตลอดเวลา จากกิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ นอกจากนี้การทำลายพื้นที่ป่าไม้ยังเป็น การเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากขาดต้นไม้ที่จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทีเกิด จากการ เผาไหม้ทำให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เหลืออยู่มากในบรรยากาศ
2. ก๊าซคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน ( Chiorofluorocarbons, CFC )
ก๊าซ ซีเอฟซีมีหลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาใช้กันมาก คือ ซีเอฟซี 11 ซีเอฟซี 12 ซีเอฟซี 22 เป็นก๊าซที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้สำหรับทำความเย็นในตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ ใช้เป็นสารขับดันในกระป๋องสเปรย์ต่าง ๆ เช่น สเปรย์ปรับอากาศ สีกระป๋อง เมื่อมนุษย์นำสารซีเอฟซี ขึ้นมาใช้ในอุตสาหกรรมหรือนำผลิตภัณฑ์มาใช้ สารซีเอฟซี จะระเหยเป็นไอลอยสู่บรรยากาศและจะดูดกลืนอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานกว่า 100 ปี และมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 1 หมื่นเท่า
ปัญหาอีกประการคือ ซีเอฟซี จะลดปริมาณโอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ ปกติโอโซนในชั้นนี้จะทำหน้าที่ดูดกลืน รังสีอัลตราไวโอเลตที่มาจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิวหนังของมนุษย์ไม่ให้ผ่านทะลุมายังพื้นโลก เมื่อโอโซนลดลง รังสีอัลตราไวโอเลตถูกปล่อยลงสู่พื้นโลกมากขึ้นอาจส่งผลต่อมนุษย์โดยทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ตาเป็นต้อกระจก
นอกจากก๊าซทั้งสองชนิดที่กล่าวมานี้ ยังมีก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เช่น ก๊าซมีเทน ก๊าซไนตรัสออกไซด์ และโอโซน ซึ่งก๊าซเหล่านี้มีค่าเก็บกักความร้อนเป็น 30 150 และ 2,000 เท่าของคาร์บอนไดออกไซด์ตามลำดับ โดยมีเทนเป็นก๊าซที่เกิด จากบ่อถ่านหินหลุมก๊าซธรรมชาติ จากการเผาอินทรีย์สาร การฝังขยะ และจากการสลายตัวของสารอินทรีย์แบบไม่มีอากาศ
( Anaerobic ) รวมทั้งการทำนาข้าว ส่วน ไรตรัสออกไซด์เกิดจากการใช้ปุ๋ยเคมีที่มีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล การเผาไหม้มวลชีวภาพ สำหรับโอโซนเกิดจากปฏิกิริยาของก๊าซมลภาวะต่าง ๆ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนโตรเจนออกไซด์กับแสงอาทิตย์

10/18/2552

ปรากฏการณ์เรือนกระจก ( Greenhouse Effect )

ปรากฏการณ์เรือนกระจก ( Greenhouse Effect )
ปรากฏการณ์เรือนกระจก หมายถึง สภาพที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซต่าง ๆ ในบรรยากาศผิวโลกมีปริมาณเกินภาวะสมดุล ทำให้เกิดปรากฏการณ์คล้ายกระจกหลังคาที่หุ้มเรือนกระจก และทำให้อุณหภูมิระหว่างผิวโลกกัฐก๊าซดังกล่าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอากาศของโลก

10/15/2552

ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หมายถึงการที่อุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศบนโลกสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอากาศบริเวณใกล้ผิวโลกและน้ำในมหาสมุทร ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 0.74 ± 0.18 องศาเซลเซียส และจากแบบจำลองการคาดคะเนภูมิอากาศพบว่าในปี พ.ศ. 2544 – 2643 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 1.1 ถึง 6.4 องศาเซลเซียส
สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนก็เพราะว่าก๊าซ เรือนกระจก ที่ เพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาผลาญถ่านหินและเชื้อเพลิง รวมไปถึงสารเคมีที่มีส่วนผสมของก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ใช้ และอื่นๆอีกมากมาย จึงทำให้ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้รังสีของดวงอาทิตย์ที่ควรจะสะท้อนกลับออกไปในปริมาณที่เหมาะสม กลับถูกก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้กักเก็บไว้ ทำให้อุณหภูมิของโลกค่อยๆสูงขึ้นจากเดิม
ผลกระทบของภาวะโลกร้อนนั้นก็มีให้เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ สภาพลมฟ้าอากาศที่ผิดแปลกไปจากเดิม ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุที่รุนแรง อากาศที่ร้อนผิดปกติจนมีคนเสียชีวิต รวมไปถึงโรคระบาดชนิดใหม่ๆ หรือโรคระบาดที่เคยหายไปจากโลกนี้แล้วก็กลับมาให้เราได้เห็นใหม่ และ พาหะนำโรค ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
ในอนาคตคาดว่าผลกระทบของภาวะโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เราสามารถช่วยกัน ลดภาวะโลกร้อนได้ หลายวิธี หลักๆก็เห็นจะเป็นการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัด เพราะว่าพลังงานที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้กว่าจะมาถึงให้เราได้ใช้นั้น ต้องผ่านกระบวนการขั้นตอนในการผลิตมากมาย และแต่ละขั้นตอนก็จะทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกขึ้นมา เพราะฉะนั้นการลดใช้พลังงานก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ เช่น การปิดไฟเมื่อไม่ได้ใช้ การใช้น้ำอย่างประหยัด การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในการเดินทางใกล้ๆ และอื่นๆอีกมากมาย
การปลูกต้นไม้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้ อย่างที่เรารู้กันดีว่าในเวลากลางวัน ต้นไม้นั้นจะช่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และหายใจออกมาเป็นก๊าซออกซิเจน เปรียบเสมือนเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเราโดยแท้ แต่ทว่าปัจจุบันป่าไม้ถูกทำลายและมีจำนวนลดลงไปอย่างมาก ฉะนั้นถ้าเราทุกคนช่วยกันปลูกต้นไม้ ก็เหมือนกับช่วยเพิ่มเครื่องฟอกอากาศให้กับโลกของเรา

10/12/2552

ปรากฏการณ์เรือนกระจก

ปรากฏการณ์เรือนกระจก
มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง

10/11/2552

ปัจจุบันแกนหมุนของโลกเอียงมากขึ้นเป็น 24 องศาจริงหรือ?

ปัจจุบันแกนหมุนของโลกเอียงมากขึ้นเป็น 24 องศาจริงหรือ?
ไม่จริง ปัจจุบันแกนโลกยังคงเอียง 23.44 องศา
อย่างไรก็ตาม แกนหมุนของโลกมีการเปลี่ยนแปลงเสมอในช่วงแคบ ๆ 22.1-24.5 องศาโดยมีคาบประมาณ 42,000 ปี ดังนั้นถ้าจะมองให้ละเอียด ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่เปลี่ยนแปลงช้ามาก และยิ่งกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของมุมเอียงขณะนี้อยู่ในช่วงขาลง นั่นคือ แกนโลกกำลังเอียงน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น
โลกแตก อุบัติเหตุแผ่นดินไหวเกิดได้ทุกเมื่อถึงกับมีนักวิทยาศาสตร์ ได้คาดเดาว่าโลกอาจจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หากเกิดแผ่นดินไหวตรงบริเวณจุดอ่อนของโลก ตามสถิติในทศวรรษที่ผ่านมาผู้เสียชีวิตด้วยแผ่นดินไหวเป็นตัวเลขที่สูงมาก เช่น ในปี ค.ศ. 1556 เกิดแผ่นดินไหวในประเทศจีนมีผู้เสียชีวิตถึง 830,000 คน ชีวิตมนุษย์ 140,000 คน ในโปรตุเกสก็ต้องถูกแผ่นดินกลืนไป ในปี ค.ศ. 1755 ประเทศที่เกิดแผ่นดินไหวมากที่สุดเห็นจะเป็นประเทศญี่ปุ่น ในแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นจะนำพาชีวิต มนุษย์ไปเป็นแสน แต่ในปัจจุบันนับได้ว่า ญี่ปุ่นมีระบบป้องกันอันตรายที่เกิดจากแผ่นดินไหวหรือภูเขาไฟระเบิดได้ดีมาก ความเสียหายในการเกิดแผ่นดินไหว ไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าได้
สถิติการเกิดแผ่นดินไหวแต่ละปีนับว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก คือ 500,000 ครั้งแต่หาใช่ว่าทุกครั้งที่เกิดจะทำลายชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน มีเพียง 1,000 ครั้งเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตมนุษย์ได้ และ 100,000 ครั้งที่ทำให้เรารู้สึกว่าแผ่นดินไหว นอกนั้นมักจะเกิดในบริเวณมหาสมุทรต่างจะไปส่งผลกระทบโดยตรง แต่จะทำให้เกิดคลื่นพายุลมแรงจัด จะเป็นอันตรายต่อชาวประมง
การสำรวจการเกิดแผ่นดินไหว เห็นจะเป็นหน้าที่ของนักธรณีวิทยาการตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ สำคัญมาก เพราะทุกอย่างหมายถึงความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ทุกครั้งที่จะเกิดแผ่นดินไหว จะมีการแจ้งให้ประชาชนทราบอย่างช้าที่สุดประมาณ 7 วัน แต่นั่นก็ไม่แคล้วที่จะเกิดความเสียหายอย่างมากมาย ทั้งนั้นทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถป้องกันภัยธรรมชาตินี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเคลื่อนที่ของชั้นดินและหินของเปลือกโลกชั้นนอกสุด (ลึกประมาณ 60 กิโลเมตร) นักวิทยาศาสตร์ได้สัณนิษฐานเหตุนี้มีส่วนทำให้เกิดแผ่นดินไหว การเคลื่อนตัวของชั้นหินในเปลือกโลกเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะการเคลื่อนตัวอย่างนี้ต้องใช้พลังงานอย่างมหาศาล ในแต่ละปีการเคลื่อนตัวของผิวโลกจะเกิดประมาณ 2-3 ซม. ชั้นหินและดินที่เคลื่อนตัวหากเคลื่อนตัวตามกันมักจะไม่มีปัญหาเท่าไร แต่ถ้าเคลื่อนตัวสวนกันแล้ว ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวก็จะเกิดขึ้นเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นใน แคลิฟอร์เนีย เปลือกโลกชื่อแปซิฟิคเคลื่อนที่สวนกับเปลือกโลกชื่อ อเมริกันเคลื่อนตัวสวนกันทำให้เห็นเป็นรอยแยกของผิวโลกอย่างชัดเจนการเคลื่อนตัวของเปลือกบางครั้งมีการเคลื่อนตัวเข้าหากันจึงทำให้เกิดการโค้งงอของเปลือกโลก
"ไซโมกราฟ" เครื่องมือวัดการสั่นสะเทือนของผิวโลก ที่เกิดจากแผ่นดินไหว เครื่องไซโมกราฟอย่างง่าย ๆ ประกอบด้วย กระบอกทรงกลมหมุนได้ ตั้งอยู่บนพื้นราบพื้นสม่ำเสมอ ขณะที่กระบอกกลมหมุนไป ปากกาจะบันทึกเส้นลงบนผิวของกระบอกทรงกลมนั้น ปัจจุบันการบันทึกข้อมูลจะใช้ออสซิโลสโคป
ได้มีผู้เสนอแนวทางแก้ไขการเกิดแผ่นดินไหวจากหนักให้เบาได้ โดยการสูบน้ำเข้าไปในบริเวณที่คิดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวฉะนั้นการเคลื่อนตัวของชั้นหินภายในจะได้เคลื่อนที่เป็นอิสระจะเปลือกโลกภายนอก ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนน้อยลงที่พื้นผิวหรือสูบน้ำออกจากชั้นหินที่กำลังเคลื่อนที่สวนกัน หรือเคลื่อนเข้าหากันเพราะไม่ให้มีการชนกันของชั้นหินใต้ผิวโลก

หากเกิดการสลับขั้วแม่เหล็กโลกจริง

เนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกมีบทบาทสำคัญในการเป็นเกราะคุ้มกันรังสีอันตรายจากห้วงอวกาศ ดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า หากเกิดความผิดปกติของสนามแม่เหล็กโลก จะส่งผลกระทบที่รุนแรงถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายหรือเกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่หรือไม่? จากการเทียบบันทึกการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตซึ่งเกิดมาแล้วหลายครั้ง เราไม่พบว่ามีความสอดคล้องกับเวลาที่เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นบนโลก นี่น่าจะพอเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่า หากโลกสลับขั้วแม่เหล็กในช่วงนี้ ก็คงไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย
โลกมิใช่มีเพียงแม่เหล็กแท่งใหญ่แท่งเดียว แต่ยังมีแม่เหล็กขนาดย่อมกระจายอยู่หลายส่วนทั่วโลก ช่วงที่มีการสลับขั้วแม่เหล็ก แม่เหล็กตัวใหญ่จะอ่อนกำลังลงไปมากจนเผยให้เห็นอิทธิผลของแม่เหล็กตัวย่อย ในช่วงเวลาดังกล่าวโลกจะมีขั้วแม่เหล็กเหนือใต้หลายแห่งบนโลก สนามแม่เหล็กโลกจะซับซ้อนยุ่งเหยิงมาก แน่นอนว่าช่วงนี้เราอาจใช้เข็มทิศไม่ได้ สัตว์บางชนิดที่ต้องพึ่งพาสนามแม่เหล็กโลกก็อาจประสบความยากลำบาก

10/08/2552

ในปี ค.ศ. 2012 โลกจะสลับขั้วสนามแม่เหล็กจริงหรือ?

ในปี ค.ศ. 2012 โลกจะสลับขั้วสนามแม่เหล็กจริงหรือ?
แม้นักวิทยาศาสตร์จะเชื่อว่าโลกจะสลับขั้วแม่เหล็กอีกอย่างแน่นอน แต่ก็ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด อย่าว่าแต่จะให้ระบุปีที่เกิด แม้แต่จะให้ระบุว่าจะเกิดขึ้นในศตวรรษใดก็ยังยาก เนื่องจากจังหวะการเกิดปรากฏการณ์นี้ในอดีตผันแปรมาก
นักโลกแตกนิยมมักโยงเรื่องวัฏจักรของดวงอาทิตย์ซึ่งจะถึงช่วงสูงสุดในราวปี 2012 เข้ากับการสลับขั้วแม่เหล็กโลก นั่นเป็นการโยงเหตุการณ์ที่ไร้เหตุผลอย่างมาก ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าการสลับขั้วแม่เหล็กโลกมีความสัมพันธ์กับวัฏจักรของดวงอาทิตย์

10/07/2552

โลกสลับขั้วแม่เหล็กครั้งล่าสุดเมื่อใด และจะเกิดครั้งต่อไปเมื่อใด?

โลกสลับขั้วแม่เหล็กครั้งล่าสุดเมื่อใด และจะเกิดครั้งต่อไปเมื่อใด?
ครั้งล่าสุดที่โลกสลับขั้วแม่เหล็กเกิดขึ้นเมื่อราว 780,000 ก่อน
การพยากรณ์ว่าจะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อไหร่ หมายความนักวิทยาศาสตร์จะต้องเข้าใจกลไกการสลับขั้วแม่เหล็กดีพอสมควร หรือการสลับขั้วแม่เหล็กโลกในอดีตมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้ เช่นมีคาบแน่นอน หรือเกิดขึ้นในเวลาที่สอดคล้องกับเหตุการณ์อื่น แต่ปัจจุบันยังขาดทั้งสองอย่าง นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสนามแม่เหล็กโลกเกิดจากอะไร ไม่ทราบว่าสลับขั้วได้อย่างไร นอกจากนี้บันทึกการสลับขั้วในอดีตก็ไม่มีรูปแบบเด่นชัดพอจะคาดการณ์ได้ ไม่มีคาบที่แน่นอน บางช่วงสนามแม่เหล็กโลกอาจคงทิศอยู่นานถึงหลายสิบล้านปี บางครั้งอาจคงทิศได้เพียงไม่กี่ร้อยปี ความผันแปรอย่างมหาศาลนี้ทำให้แทบระบุไม่ได้เลยว่า โลกจะถึงกาลสลับขั้วแม่เหล็กอีกครั้งเมื่อใด

10/06/2552

ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ pole shift จริงหรือ?

ปี 2012 จะเกิดปรากฏการณ์ pole shift จริงหรือ?
pole shift คือการเลื่อนขั้วแกนหมุนของโลก ทำให้ขั้วเหนือและใต้ของโลกเปลี่ยนตำแหน่งไป เกิดขึ้นจากการที่สัญฐานของโลกไม่กลมสมบูรณ์ ปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าเคยเกิดขึ้นจริงกับโลก รวมถึงดาวเคราะห์และดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย
ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าจะเกิดปรากฏการณ์นี้ในปี 2012 และแม้จะเกิดก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตเนื่องจากการเลื่อนนี้เกิดขึ้นในอัตราที่เชื่องช้ามาก
pole shift ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องขั้วแม่เหล็กโลกเลื่อนตำแหน่ง ไม่เกี่ยวกับการเลื่อนของแผ่นทวีป และไม่เกี่ยวกับการส่ายของขั้วโลก
ปี 2012 สนามแม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนตำแหน่งจริงหรือ?
จริง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่กำลังจะเกิดใน ค.ศ. 2012 หากแต่เกิดขึ้นตลอดเวลา แม้แต่ตอนนี้ก็เกิด
นักวิทยาศาสตร์ทราบว่าขั้วแม่เหล็กโลกมีการเคลื่อนที่ตั้งแต่ที่ค้นพบขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเมื่อกว่าศตวรรษก่อนแล้ว การเคลื่อนที่นี้เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณ 1 องศาต่อ 1 ล้านปีหรืออาจเร็วกว่านั้น
การสำรวจในช่วงไม่กี่ปีมานี้พบว่า ขั้วเหนือแม่เหล็กโลกเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าโลกใกล้จะสลับขั้วหรือกำลังวิปริต เพราะอัตราการเคลื่อนที่มีขึ้นมีลงอยู่เสมอ

สนามแม่เหล็กโลก

สนามแม่เหล็กโลกสลับขั้วได้จริงหรือ?
มนุษย์ยุคปัจจุบันยังไม่เคยมีใครเห็นโลกสลับขั้วแม่เหล็ก แต่หลักฐานทางธรณีวิทยาบ่งชี้ว่าการสลับขั้วแม่เหล็กเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ของโลก
สนามแม่เหล็กโลกกำลังอ่อนกำลังลงจริงหรือ?
(จริง) นักวิทยาศาสตร์พบว่า นับจากคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความเข้มสนามแม่เหล็กโลกได้อ่อนกำลังลงไปประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะความเข้มสนามแม่เหล็กโลกผันแปรตลอดเวลาเป็นเรื่องปกติ ความจริงสนามแม่เหล็กโลกในขณะนี้ยังเข้มกว่าความเข้มเฉลี่ยของสนามแม่เหล็กโลกในช่วงหนึ่งล้านปีที่ผ่านมาถึงสองเท่า

ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ?

ในปี ค.ศ. 2012 จะเกิดพายุสุริยะโจมตีโลกจริงหรือ?
(จริง) พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และส่งผลกระทบถึงโลก และมีระดับความรุนแรงผันแปรเป็นคาบ คาบละประมาณ 11 ปี คาบที่ชัดเจนนี้ทำให้นักดาราศาสตร์พยากรณ์ได้ว่าช่วงสูงสุดหรือต่ำสุดของวัฏจักรสุริยะจะเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะเกิดในครั้งถัดไปคาดว่าจะอยู่ในช่วงกลาง ค.ศ. 2013
ช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะกินเวลายาวนานข้ามปี ดังนั้นแม้ช่วงสูงสุดจะอยู่ใน ค.ศ. 2013 แต่พายุสุริยะก็เริ่มจะกระหน่ำโลกตั้งแต่ก่อน ค.ศ. 2012 แล้ว
แม้ช่วงปี 2013 จะอยู่ในช่วงสูงสุดของวัฏจักรสุริยะ แต่พายุสุริยะที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่ได้รุนแรงมากไปกว่าที่เคยเกิดขึ้นในรอบก่อน ซึ่งเกิดในราวปี ค.ศ. 2000, 1989, และก่อนหน้านั้น ความจริงมีแนวโน้มว่าช่วงสูงสุดของวัฏจักรที่จะมาถึงในปี 2013 จะอ่อนกำลังกว่าวัฏจักรก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ

10/05/2552

พายุสุริยะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร?

พายุสุริยะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไร?
ปกติพายุสุริยะจะไม่ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็กคุ้มกัน มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับอันตราย ทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์
ในอดีต พายุสุริยะเคยสำแดงฤทธิ์เดชให้เห็นแล้วหลายครั้ง เช่น ใน ค.ศ. 1859 พายุสุริยะทำให้สายโทรเลขลัดวงจรจนทำให้เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและอเมริกา ส่วนใน พ.ศ. 2532 พายุสุริยะก็เคยทำให้หม้อแปลงของไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งจังหวัดควิเบกของแคนาดามาแล้ว นอกจากนี้ดาวเทียมและยานอวกาศที่อยู่ในอวกาศก็อาจเสียหายจากพายุสุริยะได้ ในอดีตเคยมีดาวเทียมหลายดวงเสียหายจากเหตุการณ์นี้มาแล้ว เนื่องจากปัจจุบันชีวิตประจำวันของผู้คนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอวกาศมาก ทั้งโทรศัพท์ โทรทัศน์ การกระจายเสียงวิทยุ ระบบบอกพิกัด ฯลฯ ดังนั้นหากมีพายุสุริยะมาทำให้ดาวเทียมเหล่านี้เสียหายไป ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างแน่นอน

10/04/2552

พายุสุริยะคืออะไร?

พายุสุริยะคืออะไร?
พายุสุริยะคือกระแสของอนุภาคพลังงานสูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก

10/01/2552

วานก้า ผู้พยากรณ์โลกดับ (ต่อ)

2033 - น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น
2043 - เศรษฐกิจโลกรุ่งเรือง มุสลิมปกครองยุโรป
2046 - มนุษย์ปลูกอวัยวะได้ทุกอย่าง การเปลี่ยนอวัยวะ เป็นวิธีการรักษาโรคที่ดีที่สุด
2066 - สหรัฐโจมตีกรุงโรมของพวกมุสลิมด้วยอาวุธใหม่ คืออาวุธสภาพอากาศ ซึ่งทำให้อากาศหนาวเย็นลง
2076 - สังคมไร้ชนชั้น (คอมมิวนิสต์)
2084 - ธรรมชาติได้รับการฟื้นฟู
2088 - เกิดโรคใหม่ โรคแก่ติดจรวด (แก่ในไม่กี่วินาที)
2097 - เอาชนะโรคแก่ติดจรวดได้
2100 - ดวงอาทิตย์เทียมให้แสงส่างกับโลกส่วนที่มืด
2111 - มนุษย์ กลายเป็นมนุษย์ไซบอร์ก (หุ่นยนต์มีชีวิต)
2125 - โลกได้รับสัญญาณจากอวกาศ
2130 - โลกไปตั้งอาณานิคมใต้น้ำ (จากคำแนะนำของมนุษย์ต่างดาว)
2164 - สัตว์ กลายเป็นสัตว์กึ่งมนุษย์
2167 - เกิดศาสนาใหม่
2183 - อาณานิคมบนดาวอังคารมีอาวุธนิวเคลียร์ และต้องการเป็นเอกราชจากโลก
2187 - โลกหยุดยั้งการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ 2 ลูก
2195 - อาณานิคมใต้น้ำ เลี้ยงตัวเองได้โดยสมบูรณ์ ทั้งอาหารและพลังงาน
2196 - ชาวเอเชียผสมกับชาวยุโรปโดยสมบูรณ์
2221 - ในการติดตามหาชีวิตนอกโลก มนุษย์ต้องเจอกับอะไรบางอย่างที่น่ากลัว
2256 - ยานอวกาศนำโรคร้ายกลับมายังโลก
2262 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดาวหางเกือบชนดาวอังคาร
2273 - การผสมปนเปกันของคนผิวขาว ผิวเหลือง และผิวดำ ก่อเกิดเป็นคนสีผิวใหม่
2279 - พบพลังที่ไม่ได้มาจากอะไรเลย (คาดว่าอาจจะมาจากสภาพสูญญากาศ หรือไม่ก็หลุมดำ )
2288 - มีการเดินทางไปกับกาลเวลา การติดต่อครั้งใหม่กับมนุษย์ต่างดาว
2291 - ดวงอาทิตย์เริ่มเย็นลง มีความพยายามที่จะจุดมันขึ้นมาใหม่
2296 - เกิดระเบิดครั้งใหญ่บนดวงอาทิตย์ สถานีอวกาศและดาวเทียมเก่าเริ่มตก
2299 - ในฝรั่งเศสเกิดการจลาจลต่อต้านมุสลิม
2302 - เปิดกฏใหม่เรื่องความลับของจักรวาล
2304 - พบความลับของดวงจันทร์
2354 - เกิดความผิดพลาดกับดวงอาทิตย์เทียม ก่อให้เกิดความแห้งแล้ง
2371 - เกิดปัญหาความอดอยากครั้งใหญ่
2480 - ดวงอาทิตย์เทียม 2 ดวงชนกัน
3005 - สงครามบนดาวอังคาร
3010 - ดาวหางชนดวงจันทร์ เศษซากที่กระจาย พากันโคจรรอบโลก
3797 - ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลือบนโลก แต่มนุษย์ได้ไปวางสิ่งจำเป็นพื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิตบนดาวดวงอื่นแล้ว

วานก้า ผู้พยากรณ์วันโลกดับ

วานก้า หรือชื่อจริงคุณยาย วานเกเลีย ปานเดว่า กุชเตโรว่า เป็นชาวบัลแกเรีย ซึ่งตายไปเมื่อหลายปีก่อน คุณยายผู้นี้เกิดเมื่อ 31 มกราคม 1911 ในครอบครัวชาวนายากจนที่หมู่บ้าน สตรูมิซ่า ที่ปัจจุบันอยู่ใน มาเซโดเนีย เมื่อคลอดออกมา คุณยายทำท่าว่าจะไม่รอดตั้งแต่หลังคลอด แต่ไม่ยักกะตาย และหลังจากมีอายุได้ 2 เดือน เด็กน้อยก็กลับมาแข็งแรงเหมือนเด็กปกติ ตอนอายุ 3 ขวบ แม่คุณยายก็เกิดมาตาย ไม่นานหลังจากนั้น พ่อก็ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามโลกครั้งแรก เพื่อนบ้านต้องช่วยกันดูแลเด็กน้อยแทน หลังจากพ่อกลับมา ชีวิตของท่านก็ดีขึ้น เมื่อพ่อมีเมียใหม่ แม่ใหม่ก็ไม่ได้รังเกียจลูกเลี้ยง
พอคุณยายมีอายุได้ 12 ขวบ ก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับตัวท่าน กล่าวคือได้เกิดพายุหมุนในหมู่บ้าน ( โดยก่อนและหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น ไม่เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย) พายุได้หอบเอาคุณยายขึ้นไปเบื้องบน ก่อนจะปล่อยตกลงมาในภายหลัง และหลังจากนั้นตาของคุณยายก็เริ่มมองไม่เห็น หลังการผ่าตัดก็ไม่หาย และมองไม่เห็นโดยสิ้นเชิง 3 ปีหลังเหตุการณ์นั้น
ปี 1925 คุณยายถูกส่งตัวเข้าโรงเรียนคนตาบอด และใช้เวลาอยู่ที่นี่ 3 ปี เมื่อกลับมาบ้าน ก็ต้องเจอกับชีวิตที่ยากลำบาก ทั้งความยากจน งานหนัก และโรคภัยไข้เจ็บที่เกือบจะคร่าชีวิต แต่ในช่วงนั้นเองที่คุณยายเริ่มรู้สึกตัวว่ามีอำนาจพิเศษ นั่นก็คือการมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆทั้งจากในความฝัน พรายกระซิบ และอื่นๆ ทำให้สามารถทำนายทายทักเหตุการณ์ทั้งที่จะเกิดในอนาคต และเกิดมาแล้วได้อย่างแม่นยำมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องทหารที่สูญหายไปในแนวหน้า แต่ตอนแรก คุณยายไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับใคร กลัวจะถูกหาว่า นอกจากบอดแล้วยังบ้า
คำทำนายครั้งแรกของคุณยาย มีขึ้นเมื่ออายุ 16 ปี คือการบอกถึงสถานที่ที่แพะของพ่อที่ถูกลักไป ถูกนำไปซ่อน คุณยายบอกว่า ท่านเห็นสิ่งนี้ในฝัน
คุณยายตายเมื่อ 11 สิงหาคม 1996 เวลา 10:10 น. ตรงตามที่ทำนายเอาไว้ทั้งวันที่ และเวลา
และต่อไปนี้คือคำทำนายถึงโลกในอนาคตครับ
2008 - ผู้นำ 4 ประเทศถูกลอบสังหาร กรณีพิพาทในอินโดสถาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
2010 - เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 3 ( พฤศจิกายน 2010 - ตุลาคม 2014 ) ตอนแรกก็ใช้อาวุธธรรมดา ต่อมาก็ตามด้วยนิวเคลียร์และอาวุธเคมี การนำอาวุธนิวเคลียร์มาใช้ ทำให้ซีกโลกเหนือ จะไม่เหลือทั้งพืชและสัตว์ จากนั้นพวกมุสลิม จะใช้อาวุธเคมีเข้าจัดการกับชาวยุโรปที่ยังหลงเหลืออยู่ ผู้คนจะป่วยเป็นฝีหนองและมะเร็งผิวหนังกันมากจากผลของอาวุธเคมี
2016 - ยุโรปแทบจะร้างผู้คน
2018 - จีนเป็นมหาอำนาจของโลกรายใหม่ ประเทศกำลังพัฒนา กลับกลายจากประเทศผู้ถูกกดขี่ มาเป็นผู้กดขี่เสียเอง
2023 - วงโคจรของโลกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
2028 - เกิดแหล่งพลังงานใหม่ (คาดว่า น่าจะเป็น เทอร์โมนิวเคลียร์ รีแอ็คชั่น ) โลกเริ่มเอาชนะปัญหาความอดอยากได้ มนุษย์เริ่มเดินทางไปยังดาวศุกร์